
FBS ก้าวเข้าสู่ปีที่ 16
18 มิ.ย. 2025
กลยุทธ์
เทรดเดอร์มือใหม่มักจะมองหาเครื่องมือวิเศษ –– อินดิเคเตอร์ตัวเดียวที่จะช่วยให้พวกเขาทำกำไรมหาศาลได้ พวกเขาอาจโชคดีอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายเวทมนตร์นั้นก็หายไป เมื่อเริ่มขาดทุน พวกเขามักคิดว่าเป็นเพราะใช้อินดิเคเตอร์ผิดตัว แล้วก็เปลี่ยนไปใช้อินดิเคเตอร์ตัวใหม่ และเหตุการณ์เดิมก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
แน่นอนว่าวิธีคิดแบบนี้เป็นแนวทางที่ผิด เพราะมันเกิดจากความเข้าใจผิดเกี่ยวกับธรรมชาติของอินดิเคเตอร์ ไม่มีอินดิเคเตอร์ตัวไหนที่ถูกออกแบบมาให้ตีความตลาดได้อย่างสมบูรณ์แบบหรือคาดการณ์ตลาดได้อย่างแม่นยำ และที่สำคัญ อินดิเคเตอร์แต่ละตัวไม่ได้ถูกออกแบบมาให้สัมพันธ์กับอินดิเคเตอร์ตัวอื่น ๆ แต่ละตัวควรใช้ร่วมกัน เพื่อเสริมจุดแข็งและกลบจุดอ่อน แม้ในบางกรณีที่พวกมันจะให้สัญญาณขัดแย้งกันก็ตาม
Alexander Elder เป็นเทรดเดอร์ที่มีชื่อเสียง และเป็นผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับกลยุทธ์การเทรดหลายเล่ม เขาเป็นผู้คิดค้นกลยุทธ์ที่เรียกว่า กลยุทธ์สามหน้าจอ หรือ Triple Screen ซึ่งเป็นแนวทางที่ผสมผสานอินดิเคเตอร์หลายตัวเข้าด้วยกัน โดยคัดกรองข้อเสียของแต่ละตัวออกไป และรักษาข้อดีเอาไว้ กล่าวโดยสรุป กลยุทธ์นี้ใช้กระบวนการตัดสินใจซื้อขายแบบสามระดับ
ก่อนอื่น คุณต้องกำหนดก่อนว่าคุณต้องการเทรดในกรอบเวลาไหน ไม่ว่าคุณจะเลือกเทรดในกรอบเวลาใดก็ตาม คุณจะต้องดูกรอบเวลาอื่นอีกสองระดับที่สัมพันธ์กับกรอบเวลานั้น ได้แก่ กรอบเวลาที่สูงกว่า ซึ่งให้บริบทหรือภาพรวมที่กว้างขึ้นของตลาด ช่วยให้คุณเข้าใจแนวโน้มหลัก และกรอบเวลาที่ต่ำกว่า ซึ่งให้รายละเอียดของสถานการณ์ในปัจจุบัน และเปิดโอกาสให้คุณสามารถเลือกจุดเข้าเทรดได้อย่างแม่นยำ
ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการเทรดระหว่างวัน (Intraday) คุณอาจเลือกกราฟ H1 (1 ชั่วโมง) เป็นกรอบเวลาหลักสำหรับการวิเคราะห์, ใช้กราฟ H4 (4 ชั่วโมง) เพื่อดูบริบทที่กว้างขึ้นของตลาด และใช้กราฟ M15 (15 นาที) เพื่อกำหนดจุดเข้าเทรดอย่างแม่นยำ กรอบเวลาแต่ละช่วงจะถูกใช้ในหน้าจอแต่ละส่วนของกลยุทธ์ 3 หน้าจอ ตามตารางด้านล่าง:
สมมติว่าคุณต้องการเทรดแพลทินัม คุณเปิดกราฟสามกราฟ: H4, H1, และ M15 บนกราฟ H4 ของแพลทินัม คุณสังเกตเห็นว่าราคามีการปรับตัวลงมาก่อน แล้วเข้าสู่ช่วงของการพักตัว จากสิ่งนี้ คุณคาดการณ์ว่าราคาน่าจะปรับตัวขึ้นต่อไปอีกเล็กน้อยภายในช่วงพักตัวนี้ ดังนั้น แนวคิดของเราก็คือ ซื้อในตอนนี้ แล้วขายเมื่อราคาขึ้นไปถึงระดับที่สูงกว่า ทีนี้เราอยากจะยืนยันการสังเกตของเรา และตรวจสอบความถูกต้องของการวิเคราะห์กับอินดิเคเตอร์อื่น ๆ เพื่อจุดประสงค์นี้เราจะเปิดเมนู อินดิเคเตอร์ และใส่ MACD และ Stochastic Oscillator ลงไปในกราฟ (ภาพด้านล่างแสดงวิธีการทำ)
เราจะเห็ตว่า MACD ได้ร่วงลงไปแตะระดับต่ำสุดอย่างชัดเจน ต่ำกว่าค่าเส้นสัญญาณ (ตามบริเวณที่ถูกเน้นในภาพด้านล่าง) ขณะที่ Stochastic Oscillator แสดงให้เห็นว่าเส้นเร็ว (เส้นทึบ) ตัดขึ้นเหนือเส้นช้า (เส้นประ) จากด้านล่าง ภายในโซน 0–20% ซึ่งทั้งสองสัญญาณนี้ มักถูกตีความว่าเป็นภาวะตลาด Oversold (ขายมากเกินไป) และเป็นสัญญาณในการเข้าซื้อ ดังนั้น ตอนนี้เรามีการยืนยันจากอินดิเคเตอร์สองตัวว่า การตีความแนวโน้มของตลาดของเราน่าจะถูกต้อง และกลยุทธ์ของเรามีโอกาสประสบความสำเร็จสูง ทีนี้เราไปที่หน้าจอที่สองกัน
หน้าจอที่สองมีหน้าที่ในการยืนยันการสังเกตจากหน้าจอแรก และช่วยให้เราสามารถหาจุดเข้าเทรดที่แม่นยำยิ่งขึ้น เพื่อทำสิ่งนี้ เราจะเพิ่มอินดิเคเตอร์ RSI ลงในหน้าต่างกราฟ ภาพด้านล่างจะแสดงวิธีเลือกและเพิ่ม RSI
RSI เป็นเครื่องมือที่ดีในการบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของตลาด และช่วยระบุช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเปิดออร์เดอร์ โดยในกรณีนี้ เราวางแผนจะเปิด Long (ซื้อ) ในช่วงที่ราคากำลังปรับฐานขึ้นจากแนวโน้มขาลง (rising correction) เมื่อ RSI ตัดขึ้นเหนือระดับ 30% นั่นคือสัญญาณที่แสดงให้เราเห็นถึงช่วงเวลานั้น บนกราฟ H1 ของแพลทินัม เราเห็นว่ามันข้ามระดับขายมากเกินไปขึ้นมาแล้ว นั่นหมายความว่าแรงผลักดันขาขึ้นค่อนข้างแข็งแกร่ง ตอนนี้เราไปที่หน้าจอที่สามกันเพื่อเลือกระดับในการเปิดสถานะซื้อ
หน้าจอที่สามไม่จำเป็นต้องใช้อินดิเคเตอร์ใด ๆ บนกราฟ M15 ของแพลทินัม เราจะเห็นคลื่นราคาอย่างละเอียด ซึ่งเป็นบริเวณเดียวกับที่ถูกระบุว่าเป็นจุดเข้าเทรดในกราฟก่อนหน้า ตอนนี้สิ่งที่เราต้องการคือการยืนยันอีกครั้งว่าจะไม่มีการกลับตัวลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจทำให้สมมุติฐานเกี่ยวกับแนวโน้มการพักตัว (correction) ของเรานั้นไม่ถูกต้อง เราจะรอให้ราคาทะลุขึ้นเหนือระดับที่ระบุไว้พร้อมกับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 ช่วง (50-period Moving Average) นี่คือสัญญาณที่บ่งชี้ให้เราเข้าซื้อ เราสามารถเปิดออร์เดอร์ Long (ซื้อ) ได้ทันทีหลังจากแท่งเทียนแรกปิดเหนือแนวต้านที่ระบุไว้ จากนั้นวางจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ไว้ที่ จุดต่ำสุดของแท่งเทียนก่อนหน้า
ตัวอย่างที่เราพิจารณานี้แสดงถึงกลยุทธ์สำหรับการเทรดในขาขึ้นย่อยที่เกิดขึ้น ภายหลังจากแนวโน้มหลักเป็นขาลง คุณพยายาม “ขี่คลื่น” ในตลาดขาลง เข้าซื้อที่จุดต่ำสุดของแต่ละรอบ และขายที่จุดสูงสุดของคลื่นแต่ละลูก ในทางกลับกัน หากตลาดเป็นขาขึ้นโดยรวม กลยุทธ์นี้ก็สามารถประยุกต์ในแบบตรงข้ามได้เช่นกัน นั่นคือ ขายที่จุดสูงสุดของคลื่น และซื้อที่จุดต่ำสุดของคลื่น
เทรดเดอร์อาจถามว่า "ถ้าราคาไม่ขยับไปตามที่เราคาดการณ์ไว้ล่ะ?"
คำตอบของเราคือ "ไม่มีวิธีการเทรดไหนที่สมบูรณ์แบบ" หากเทรดเดอร์ต้องการใช้แนวทางนี้ เทรดเดอร์จะต้องฝึกฝนและปรับปรุงมันให้เข้ากับรูปแบบตลาด รู้จักแยกแยะสถานการณ์ที่เหมาะสมกับกลยุทธ์นี้ และที่สำคัญคือ เทรดเดอร์ต้องเข้าใจสถานการณ์ และต้องรู้ว่าเมื่อไรไม่ควรใช้กลยุทธ์นี้ แนวคิดของกลยุทธ์นี้เรียบง่ายมาก คือการใช้ตัวกรองหลายชั้นในการตัดสินใจ และใช้อินดิเคเตอร์หลายตัวร่วมกันในกระบวนการเทรด
โดยการลงทะเบียน คุณได้ยอมรับเงื่อนไขของ ข้อตกลงลูกค้า FBS และ นโยบายความเป็นส่วนตัว FBS และยอมรับความเสี่ยงทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการซื้อขายในตลาดการเงินระดับโลก